
ลองของ: สายแบร์ฟุต ‘ไนกี้ ฟรี รัน ฟลายนิต’
ได้ลองของจริงเสียที เมื่อ Siamsport Gadgets ได้รับโอกาสจาก Nike ให้ไปร่วมทดสอบรองเท้าวิ่งตัวใหม่ Free Run Flyknit
โดยงานนี้ ก็เริ่มต้นจากการเข้าไปเลือกรุ่นที่มีไซส์กับผู้ทดสอบแต่ละคน ในส่วนของ Siamsport Gadgets ได้ไซส์ 41 โทนสีฟ้ามา ซึ่งก็เป็นของผู้ชายในรุ่นนี้ ขณะที่ของผู้หญิงจะเป็นสีม่วง แต่ก็สีสวยสดใสทั้งคู่ นอกจากนี้ ก็ยังได้ลองใส่เสื้อผ้าของ Nike ด้วย
จากนั้น ก่อนจะออกไปทดสอบเจ้า Free Run Flyknit ก็มีการให้ข้อมูลเล็กน้อย เพื่อรับทราบข้อมูลเกี่ยวสเปกที่น่าสนใจของรุ่นนี้ ทั้งอัปเปอร์หรือพื้นรองเท้า แต่จะเป็นยังไง? เดี๋ยวค่อยไปขยายความอีกที โดยจุดหมายในการวิ่งครั้งนี้ คือ ลู่วิ่งรอบสนามเทพหัสดิน

แน่นอนว่า เราต้องทำการวอร์มอัพกันก่อน ซึ่งก็มีผู้เชี่ยวชาญมาสอนเทคนิคเคล็ดลับต่างๆ ให้แบบไม่มีกั๊ก เพื่อให้ออกไปวิ่งได้เต็มที่โดยเน้นการขยับบริเวณลำตัว, หัวไหล่และขา ประมาณท่าละ 10 ครั้ง ผลปรากฏว่า ได้ผลตามนั้นคือ ทำให้ร่างกายรู้สึกพร้อมมากขึ้น

ต่อมาก็ได้เวลาออกไปวิ่งจริงเสียที หลังจากวอร์มอัพกันมาสักพัก โดยเราเลือกวิ่งลู่ 3-4 รอบสนาม เพื่อไม่ให้ไปเบียดคนอื่นเกินไป

หลังจากออกวิ่งไปสักพัก สัมผัสที่ได้จาก Free Run Flyknit คือ ความกระชับที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด แม้เท้าของเราจะกว้างไปบ้าง แต่ด้วยอัปเปอร์แบบ Flyknit ทำให้เหมือนเอาผ้าที่เนื้อแข็งแต่บางกำลังดีมาโอบเท้าไว้ ก็ขยายตัวตามการเคลื่อนไหวได้ดี แถมตอนที่วิ่งเสร็จแล้ว ก็แทบไม่มีเหงื่อออกเท้า ด้วยรูระบายอากาศโดยรอบ รวมถึงถุงเท้า Nike Dri Fit ซึ่งแบ่งเบาความร้อนได้
(สำหรับสิ่งที่อยากแนะนำสำหรับคนเริ่มหัดวิ่งคือ เป็นไปได้ ควรจะซักถุงเท้าก่อนนำมาสวมใส่ จะทำให้ไม่เกิดอาการลื่นไถลภายใน)
เรียกว่า เรื่องความกระชับและระบายอากาศนั้นสอบผ่านฉลุย ตามคอนเซ็ปต์แบบวิ่งเท้าเปล่าของรองเท้าตระกูล Free แต่กระนั้น ดูแล้วตัวนี้น่าจะเหมาะกับการเอาไว้ฝึกซ้อมมากกว่า ด้วยความที่อัปเปอร์ดีไซน์ออกมาให้บางเบาและเน้นความยืดหยุ่นสูง เช่นเดียวกับการมาวิ่งรอบสนามเทพหัสดินครั้งนี้ที่จัดไปคนละเกือบ 10 รอบสนามเอง (รอบละ 400 เมตร)
มาถึงเรื่องพื้นกันบ้าง โดย Nike ต้องการให้ Free ตัวนี้ ออกมาในอารมณ์คล้ายรุ่นก่อนในเวอร์ชั่น 4.0 (ตัวเลขวัดความพลิ้วในการวิ่งแบบเท้าเปล่าจนถึงแบบใส่รองเท้าหนาปกติ ระดับ 0-10 ) ซึ่งรองรับแรงกระแทกได้มากกว่า 3.0 แต่สัมผัสพื้นใกล้ชิดกว่า 5.0 ซึ่งถือว่า ทำได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะการทำHeel Drop ให้สูง 8 มม. จึงช่วยในเรื่องการซัพพอร์ตแรงได้มาก เหมาะกับคนวิ่งลงส้น

โดยการเสริมพื้นชั้นกลางด้วยโฟม IU และทำให้พื้นทุกชั้นเป็นชิ้นเดียวกัน ก็ทำให้พื้นผ่อนแรงได้พลิ้วขึ้น แถมทำให้รองเท้าเบาด้วย
ไม่แค่เท่านั้น ส่วนที่เราชอบอีกอย่างก็คือ ผิวของพื้นรองเท้าที่ค่อนข้างเรียบ ซึ่งมีความรู้สึกว่า ช่วยให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าดีขึ้น เมื่อเทียบกับแบบรวงผึ้งที่นูนขึ้นมาของ Nike Free รุ่นก่อน โดยเฉพาะในลู่วิ่ง ซึ่งพื้นไม่เรียบ เพราะจะเกิดการเกาะพื้นน้อยกว่า ที่สำคัญ ก็ยังรองรับจังหวะที่เท้ากดลงได้น่าสนใจ เพราะพื้นชั้นนอกจะขยายตัวออกตามรอยแยกบนผิว ซึ่งทำให้รู้สึกวิ่งได้ใกล้ชิดพื้นกว่าเดิม
บทสรุป…
แม้ยังยึดคอนเซ็ปต์ในการเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ตอนนี้ Nike ปรับไลน์รองเท้าวิ่งตระกูล Free แบบไม่มีแบ่งแยกตัวพื้น 3.0, 4.0 หรือ 5.0 แล้ว โดยพวกเขาพยายามเสริมจุดเด่นเรื่องการรองรับแรงกระแทกเข้าไป เพื่อตอบโจทย์ให้ครอบคลุมมาก พร้อมกับปรับลวดลายให้เรียบง่ายขึ้น (ตามความรู้สึกของเรา) เห็นได้จาก Free Run Flyknit ตัวนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในคอลเล็กชั่นใหม่ของพวกเขา โดยความน่าสนใจอยู่ที่อัปเปอร์และพื้นยืดหยุ่นหรือขยายตัว เพื่อรองรับเรื่องความกระชับและแรงกระแทกดีขึ้น จนทำให้วิ่งได้พลิ้วกว่ารุ่นก่อน ด้วยค่าตัว 5,000 บาท ถือว่า น่าจัด ถ้ากำลังมองหารองเท้าวิ่งแนว Barefoot ที่มีซัพพอร์ตไม่ธรรมดา…
ขอบคุณที่มาของข้อมูลดีและบทความดีๆจาก: www.siamsport.co.th,และขอบคุณข้อมูล, ภาพและผลิตภัณฑ์สำหรับการรีวิวจากบริษัท Nike ประเทศไทย